แผลเป็นจากสิว หรือหลุมสิว คือร่องรอยที่เกิดขึ้นบนผิวหนังจากสิวที่อักเสบรุนแรง
เมื่อเนื้อเยื่อผิวหนังถูกทำลาย ร่างกายของเราจะพยายามซ่อมแซมโดยการสร้างเส้นใยคอลลาเจนใหม่
อย่างไรก็ตาม กระบวนการซ่อมแซมนี้มักไม่สามารถคืนสภาพผิวหนังให้กลับคืนสู่สภาพเดิมได้
ซึ่งนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในลักษณะและคุณภาพของผิวหนังที่ส่งผลให้เกิดแผลเป็นจากสิว หรือหลุมสิว
ซึ่งสามารถส่งผลกระทบอย่างมากต่อความมั่นใจและคุณภาพชีวิตโดยรวมของผู้ที่ต้องทนทุกข์กับปัญหาดังกล่าว
ในกรณีที่การรักษาด้วยตัวเองหรือวิธีการอื่นไม่ได้ผล ก็สามารถพิจารณาวิธีการรักษาเพิ่มเติมเช่น subcision
(ซับซิชั่น)
Subcision หรือที่รู้จักในชื่อวิทยาศาสตร์ว่า 'ศัลยกรรมแบบไม่มีแผลใต้ผิวหนัง'
(Subcutaneous incision-less surgery) เป็นการผ่าตัดขนาดเล็กที่ใช้ในการรักษาแผลเป็นจากสิว
โดยการตัดผังผืดที่ทำให้แผลยึดติดกับเนื้อเยื่อภายใน ซึ่งทำให้เกิดรอยหลุมสิวยุบลงไปในผิวหนัง
เทคนิคที่อธิบายโดย Orentreich
คือเป็นวิธีการผ่าตัดขนาดเล็กเพื่อใช้ในการรักษารอยแผลเป็นแบบยุบตัวและถูกดึงด้วยผังผืด
โดยการใช้เข็มฉีดยาเจาะผ่านผิวหนังและใช้ขอบที่คมของเข็มฉีดยาเคลื่อนไหวใต้พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบเพื่อทำการตัดผังผืดใต้ผิวหนัง
หลักการคือ เซาะทำลายเนื้อเยื่อเส้นใยที่ทำให้รอยแผลเป็นยึดกับเนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง (subcutaneous
tissue) และทำให้ก้นหลุมรอยแผลเป็นที่ถูกยกขึ้น
อย่างไรก็ตาม การใช้วิธีการ subcision แบบดั้งเดิม จะมีระยะเวลาพักฟื้นที่มาก
มีอาการช้ำได้มากกว่าวิธีการที่ถูกพัฒนาขึ้น
การทำ Subcision ถูกรายงานครั้งแรกในปี 1995
โดยแพทย์ผิวหนังสองคนที่ปฏิบัติงานในนิวยอร์ก รายงานแรกนี้เกี่ยวกับการใช้เข็ม แทรกเข้าไปในชั้นหนังแท้
ลงถึงชั้นไขมัน – ซึ่งเป็นชั้นผิวหนังที่อยู่ด้านล่างของรอยแผลเป็น
จากนั้นเข็มถูกควบคุมให้เคลื่อนไหวในทิศทางแนวนอน
เพื่อทำให้เนื้อเยื่อผังผืดขาดออกจากกัน ซึ่งหลังจากมีรายงานเบื้องต้นในเรื่องนี้
ก็มีเทคนิคที่ถูกพัฒนาขึ้นหลายอย่าง โดยเกี่ยวข้องกับอุปกรณ์หรือเข็มที่ใช้ ไม่ว่าจะเป็น
ซึ่งทาง BAC Clinic มีอุปกรณ์หลายขนาดตั้งแต่ 12 G ถึง 30 G ซึ่งใช้ร่วมกับการรักษาอื่นๆ
การฉีดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Co2) มีส่วนช่วยตัดผังผืดมีข้อดีคือต้นทุนต่ำ
แต่อย่างไรก็ตามจากการศึกษาของ Moftha และคณะ ในผู้ป่วย 32 คน
ที่มีรอยแผลเป็นหลุมสิวและได้รับการรักษาด้วยไมโครนีดลิ่ง (การใช้เข็มที่ไม่มีคลื่นวิทยุเช่นโปรแกรม CIT
ของ BAC Clinic) และ ฉีดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Co2) ทั้งสองข้างของใบหน้า
ตามลำดับ โดยทำการรักษา 6 ครั้ง ห่างกัน 2 สัปห์ดา เพื่อเปรียบเทียบผลการรักษา
ผลการศึกษาพบว่าหลังจากการรักษาด้วยไมโครนีดลิ่งหรือ ฉีดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
เปรียบเทียบทั้งสองข้างของใบหน้า มีการลดลงของหลุมสิวแต่ไม่พบความแตกต่างของการตอบสนองของทั้ง 2 วิธี
แต่พบว่าคนไข้ที่ได้รับการรักษาด้วยฉีดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
มีการตอบสนองต่อการรักษาในระดับที่ต่ำมาก (Bad response) ถึง 12.5% จากการศึกษาข้างต้น แสดงให้เห็นว่า
ไมโครนีดลิ่ง ให้การตอบสนองที่ดีกว่า ดังนั้นการรักษาด้วย ไมโครนีดลิ่ง
(การใช้เข็มที่ไม่มีคลื่นวิทยุเช่นโปรแกรม CIT ของ BAC Clinic) และ
Microneedling RF (การใช้เข็มที่มีคลื่นวิทยุเช่นโปรแกรม
Infini MFR ของ BAC Clinic) ย่อมให้การตอบสนองที่ชัดเจนกว่า วิธีการฉีดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Co2)
เทคนิค Blunt Cannula Subcision (Multilayer technique)
กระบวนการ subcision มีการแทรกเข็มเข้าไปในผิวหนัง ทางคลินิกจะใช้เข็มขนาดเล็กพิเศษ (Micro-Subcision) ทั้งชนิดปลายทู่ ปลายแหลม และใบมีด โดยจะประเมินจากลักษณะหลุมสิวของคนไข้แต่ละบุคคล และเลือกใช้เครื่องมือให้เหมาะกับหลุมสิวแต่ละประเภท ทำการเซาะบริเวณใต้ฐานหลุมตัดผังผืดที่เกี่ยวให้ผิวยุบตัวลงจนถึงชั้นหนังแท้ส่วนล่างจนเกิดเป็นหลุมสิว เพื่อดันให้ขึ้นมาอยู่ในชั้นที่ตื้นขึ้น (Epidermis) และผลจากการเกิดแผล/บาดเจ็บ (injury)ใต้ฐานหลุมสิวดังกล่าว จะเกิดเลือดสะสมที่รอยแยกดังกล่าว ซึ่งป้องกันการกลับมายึดเกี่ยวใหม่ของแผลเป็น พร้อมขั้นตอนการซ่อมแซมส่วนที่บาดเจ็บ อาทิเช่น การหลั่งโกร์ท แฟคเตอร์ที่จำเป็น กระตุ้นให้เกิดการสร้างใหม่ของคอลลาเจนดันหลุมสิวตั้งแต่ฐานขึ้นไป ทำให้หลุมสิวตื้นขึ้นและดูดีขึ้น ซึ่งจะได้ผลดีกับหลุมชนิด rolling และ boxcar scar แผลอิสุกอิไสย ซึ่งมีฐานกว้าง โดยหลังการทำอาจพบรอยช้ำ โดยเป็นgold standard สำหรับการรักษารอยแผลเป็นที่ลึก ซึ่งเป็นขั้นตอนนี้มักจะใช้ร่วมกับเลเซอร์, การลอกผิว, และสารเติมเต็มผิวหนัง (Dermal filler)
แคนนูล่ามีประสิทธิภาพมากกว่าเนื่องจากสามารถเซาะผังผืดได้หลายทิศทาง หลายระดับชั้น
แคนนูล่าปลอดภัยกว่าเพราะมีปลายทู่ ซึ่งใช้แรงและความชำนาญในการเซาะผังผืดให้ได้ผลสูงสุด
แคนนูล่ายังสามารถใช้เพื่อนำส่งสารเติมเต็มผิวหนัง
แคนนูล่าสามารถปรับได้ที่ระดับต่างๆ (ใต้ผิวหนัง, ไขมันชั้นกลาง, ไขมันชั้นล่าง)
โดยการเลือกเครื่องมือที่มากขึ้น ยิ่งทำให้การรักษาดีขึ้น
อย่างไรก็ดีควรเลือกใช้เครื่องมือตามที่จำเป็น
สิ่งนี้ขึ้นอยู่กับขอบเขตของการทำ ซึ่งปรับเปลี่ยนตามระดับความรุนแรงของปัญหา โดยทั่วไปจะอยู่ระหว่าง 2-10 วัน เนื่องจากเป็นการทำงานกับชั้นใต้ผิวหนัง ไม่ใช่บนผิวหนัง จึงทำให้เวลาพักฟื้นนั้นน้อยที่สุด สำหรับการทำ Subcision จุดเล็กๆคาดว่าจะมีอาการช้ำเป็นเวลาหนึ่งหรือสองวัน สำหรับบรืเวณขนาดใหญ่ของการ Subcision คาดว่าจะมีอาการบวมและ/หรือช้ำเกินหนึ่งสัปดาห์ถึงสิบวัน
การใช้แคนนูล่าในการทำ Subcision ช่วยลดจำนวนครั้งในการรักษาอย่างมาก
เมื่อเทียบกับการใช้เข็มแบบดั้งเดิมที่ต้องการการรักษา 5-8 ครั้งในขณะที่
การใช้แคนนูล่าลดจำนวนการรักษาลงครึ่งหนึ่งเพื่อให้ได้ผลลัพธ์เดียวกันเมื่อเทียบกับการใช้เข็มทั่วไป
โดยทั่วไปแล้วคนไข้ควรทำการรักษา 2-4 ครั้ง
ปัจจัยที่จำกัดความเร็วคือว่าระบบภูมิคุ้มกันของบุคคลตอบสนองต่อการกระตุ้นคอลลาเจนปกติอย่างไรเมื่อรอยแผลเป็นเก่าถูกทำลายโดยการทำ
Subcision บางคนสามารถปรับโครงสร้างรอยแผลเป็นได้อย่างมีประสิทธิภาพในกรอบเวลาอันสั้น
ในขณะที่บางคนอาจใช้เวลานานขึ้น หากระบบภูมิคุ้มกันของคุณมีปัญหาในการสร้างคอลลาเจนใหม่
เป็นคำถามที่ทางคลินิกไม่คิดว่าจะมีลูกค้าสงสัย เนื่องจากการตัดกวาดผังผืด #การมีเสียงดัง คือเรื่องปกติ ทางคลินิกจึงไม่ได้ยกประเด็นนี้ มาเป็น "จุดขายทางการตลาด" เพราะใจความสำคัญของการรักษาหลุมสิว ไม่ใช่แค่การตัดผังผืดอย่างเดียว แต่ต้องเข้าใจหลุมสิวในแบบ 3 มิติ แล้วตัดผังผืดให้ครบทุกชั้น อีกทั้งนอกจากการตัดผังผืดแล้ว ยังต้องกระตุ้นคอลลาเจน รีโมเดล คอลลาเจนให้เป็นระเบียบ และออกแบบวิธีการให้จำเพาะกับหลุมสิว จึงต้องพึ่งพาวิธีการมากกว่า 1 วิธี
ปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่ควรพิจารณาคือ - การรักษานี้เหมาะสมกับรอยแผลเป็นของคุณหรือไม่?การใช้เทคนิคเฉพาะนี้ใช้ในกรณีที่มีรอยแผลเป็นรุนแรงเท่านั้น วิธีการนี้ไม่เหมาะสำหรับประเภทรอยแผลเป็นเพียงเล็กน้อย เช่นหลุมตื้น, หรือรอยแผลเป็นแบบ ice-pick ซึ่งเหมาะกับ Infini MFR และ TCA cross มากกว่า
Micro-Subcision (Blunt Cannula Subcision Multilayer technique)
เป็นเทคนิคที่น่าสนใจสำหรับการรักษาแผลเป็นจากสิว โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ได้ลองการรักษาอื่น ๆ
แล้วไม่ประสบความสำเร็จ อย่างไรก็ดี วิธีการนี้ควรทำโดยแพทย์ที่มีความชำนาญ
จากคลินิกที่มีความน่าเชื่อถือ เพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงที่ไม่จำเป็น และผลลัพธ์ที่ไม่ชัดเจน
อย่างไรก็ตาม
ควรจำไว้ว่าผลลัพธ์อาจจะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคลและในปัจจุบันยังไม่มีเทคโนโลยีหรือวิธีการใดที่สามารถรักษาหลุมสิวได้อย่างสมบูรณ์
100% ดังนั้นควรรับคำปรึกษากับแพทย์ก่อนการรักษา เพื่อทำความเข้าใจวิธีการ
ความเสี่ยง ผลลัพธ์และปฏิบัติตามคำแนะนำในการดูแลหลังการรักษาอย่างเคร่งครัด